เรื่องราวของเรา
ความเป็นมาของบริษัท
ธุรกิจของบริษัทฯ เริ่มต้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง ได้แก่ นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล (อู๋) และนายจิรายุทธ ภูวพูนผล (โจ้) ซึ่งมีความสนใจในการผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ประกอบกับการเติบโตมาจากครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกร
จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน และเริ่มทำแปลงผักครั้งแรกในช่วงปี 2553 โดยมีอุดมการณ์หลัก คือ การปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิถีธรรมชาติ ผ่านการออกแบบ และจัดการฟาร์มโดยที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใดๆ คำนึงถึง ผืนดิน ผลิตผล ระบบนิเวศ ครอบครัว และชุมชน โดยเริ่มจากปลูกผักสวนครัวทั่วไป และผักสลัดบางชนิด ผลผลิตที่ได้ก็จะนำไปประกอบอาหารรับประทานกันในครอบครัว ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทฯ อยากให้คนในครอบครัวมีสุขภาพดีไม่อยากให้ครอบครัวได้รับสารพิษและสารเคมีตกค้าง จึงเป็นที่มาของสโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่” และนำชื่อของผู้ร่วมก่อตั้ง “อู๋กะโจ้” มาเป็นชื่อแบรนด์ “โอ้กะจู๋” และเริ่มเปิดร้านอาหารสาขาสันทรายเป็นสาขาแรกในปี 2556 นอกจากนี้ นายวรเดช สุชัยบุญศิริ (ต้อง) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ได้นำความรู้ด้านเครื่องจักรทางการเกษตร การสร้างโรงเรือน และวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มาพัฒนาให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และทำให้บริษัทฯ สามารถขยายพื้นที่เพาะปลูก และขยายธุรกิจให้เติบโตได้จนถึงทุกวันนี้
พื้นที่เพาะปลูกของเรา
"เรามุ่งมั่นเดินบนวิถีเกษตรอินทรีย์ ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ตัวเรา และสังคม"
ผู้ก่อตั้ง
จิรายุทธ ภูวพูนผล (โจ้)
ชลากร เอกชัยพัฒนกุล (อู๋)
วรเดช สุชัยบุญศิริ (ต้อง)
ปรัชญาการดำเนินธุรกิจ
“ศรัทธา” คำนี้มีพลังยิ่งใหญ่ การได้รับประทานผักสดปลอดสารพิษจากการ...ปลูกผักเพราะรักแม่ ที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจ และเชื่อมั่นต่อพลังสามัคคีปลูกผักด้วยตนเอง ได้เห็นการงอกงามแตกใบของผักที่ปลูก ได้ตัดเก็บผลผลิตจากต้นด้วยมือผู้ปลูก ได้ตระหนักถึงการบริโภคอาหารที่ปลูกด้วยรัก คือพื้นฐานสำคัญของสุขภาพกาย และสุขภาพใจ
เหตุการณ์ที่สำคัญ
- จัดตั้งบริษัทฯ ภายใต้ชื่อ “บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด” โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท
- ขยายพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์แห่งที่ 2 ในบริเวณอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
- ขยายพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์แห่งที่ 3 ในบริเวณอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
- เปิดร้านโอ้กะจู๋ สาขาที่ 2 ตั้งอยู่ในโครงการนิ่มซิตี้ เดลี่ จังหวัดเชียงใหม่
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1.0 ล้านบาท เป็น 5.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อรองรับการขยายสาขามายังจังหวัดกรุงเทพฯ
- เปิดร้านโอ้กะจู๋ สาขาที่ 3 ตั้งอยู่ในสยามสแควร์ จังหวัดกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นร้านอาหารสาขาแรกในกรุงเทพฯ โดยมีความตั้งใจอยากให้คนในเมืองได้ทานอาหารสุขภาพจากฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของบริษัทฯ ตามสโลแกน “ตามมามอบผักอินทรีย์ แทนไมตรีที่มีให้กัน”
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 5.0 ล้านบาท เป็น 20.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 200,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อรองรับการขยายสาขา และการขยายพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์เพิ่มเติม
- จากผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้ในปี 2561 บริษัทฯ ได้ขยายร้านอาหารในกรุงเทพฯ อีก 3 สาขา และขยายพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์แห่งที่ 4 บริเวณอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น และแผนในการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียน 2 ครั้ง เพื่อรองรับการขยายสาขา
- ในเดือนตุลาคม 2562 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20.0 ล้านบาท เป็น 85.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 850,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
- ในเดือนธันวาคม 2562 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 85.0 ล้านบาท เป็น 100.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ เพิ่มเติมอีก 2 สาขา
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มเติมอีก 3 สาขา โดยเป็นการขยายพื้นที่ไปในบริเวณชานเมือง ได้แก่ พระราม 2 รังสิต และรามอินทรา เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น
- จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อของเชื้อไวรัสโคโรน่า (“COVID-19”) ที่ส่งผลให้ร้านอาหารของบริษัทฯ ไม่สามารถเปิดให้บริการได้นั้น บริษัทฯ ได้ปรับตัวโดยการเปิดร้านในรูปแบบ Delivery จำนวน 3 สาขา ในกรุงเทพฯ ซึ่งทำให้บริษัทฯ ยังคงมีรายได้อย่างต่อเนื่องตลอดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงปี 2563 - 2565 โดยร้าน Delivery ยังคงเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ทำให้บริษัทฯ เข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ทุกเวลา ตอบโจทย์ Lifestyle ผู้บริโภคในปัจจุบัน
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100.0 ล้านบาท เป็น 204.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 2,040,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อรองรับการขยายสาขา
- บริษัทฯ เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 204.0 ล้านบาท เป็น 225.0 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 2,250,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100.0 บาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าลงทุนของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (“OR”) ซึ่งเข้าถือหุ้นทางอ้อมผ่านบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (“Modulus”) (บริษัทที่ OR ถือหุ้นร้อยละ 100.0) ด้วยการเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิม และการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ รวมเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกและชำระแล้วของบริษัทฯ
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพิ่มเติมอีก 3 สาขา ซึ่งรวมถึงการเปิดร้านอาหาร ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ซึ่งถือเป็นช่องทางใหม่ ที่เกิดจากการร่วมมือกับ OR
- เริ่มเปิดใช้ครัวกลางในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2564 เพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปวัตถุดิบสำหรับใช้ในร้านอาหาร
- นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มการจำหน่ายผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ของบริษัทฯ เพื่อจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตในเชียงใหม่
- ขยายพื้นที่ปลูกผักอินทรีย์แห่งที่ 5 บริเวณอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น และแผนในการเติบโตในอนาคต
- สืบเนื่องจากการมี OR เป็นพันธมิตรและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจโดยการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้าน Café Amazon เช่น แซนวิช แร็พ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มการจำหน่ายผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ของบริษัทฯ เพื่อจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเทพฯ
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหาร และร้านในรูปแบบ Delivery เพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนรวม 7 สาขา
- บริษัทฯ เริ่มขยายสาขาไปยังจังหวัดสำคัญในภาคตะวันออก โดยมีการเปิดร้านอาหาร 4 สาขา ในพื้นที่พัทยา ชลบุรี และระยอง รวมทั้งยังคงขยายสาขาเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างต่อเนื่อง จำนวน 7 สาขา
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหารพร้อมบริการ Drive Thru เป็นแห่งแรกในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ซึ่งถือเป็นช่องทางใหม่ ที่เกิดจากการร่วมมือกับ OR
- บริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ น้ำผักผลไม้ เพื่อจำหน่ายในร้านอาหาร รวมถึงขยายธุรกิจบริการจัดเลี้ยง (Catering)
- บริษัทฯ เปิดร้านอาหารเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ จำนวน 1 สาขา
- เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ได้มีมติอนุมัติเรื่องสำคัญ ดังนี้
- แปรสภาพจากบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน)
- เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ จาก 100.0 บาทต่อหุ้น เป็น 0.5 บาทต่อหุ้น
- เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 79.5 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 225.0 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 304.5 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 159.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.5 บาทต่อหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึงกรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของบริษัทฯ และผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ
- ในเดือนเมษายน 2567 บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจใหม่ โดยการเปิดร้าน Ohkajhu Wrap & Roll สาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้า เอ็มสเฟียร์ (Emsphere) ซึ่งเป็นการต่อยอดเมนูที่จำหน่ายในร้านอาหารโอ้กะจู๋ มาพัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าวัยทำงานที่ต้องการรับประทานอาหารที่สะดวกรวดเร็ว
- ในเดือนพฤษภาคม 2567 บริษัทฯ ขยายธุรกิจใหม่โดยการเปิดร้าน Oh! Juice สาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลลาดพร้าว และปัจจุบันมีจำนวน 6 สาขา ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่ง Oh! Juice เป็นร้านน้ำผักผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นการต่อยอดเมนูน้ำผักผลไม้ปั่นที่จำหน่ายในร้านอาหาร มาพัฒนาสูตรเพิ่มเติมให้เป็นเมนูที่เน้นสุขภาพในด้านต่างๆ